วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ตำนานศักราช


ตำนานศักราช


แต่ละอารยธรรมต่างมีการกำหนดนับวันเวลาที่ต่างกัน ในแถบเอเชียมีวิธีกำหนดนับวันเวลาหลายแบบ รูปแบบของวันเวลาที่นิยมใช้กันตั้งแต่ดั่งเดิมได้แก่
๑. ศักราชโลกกาลหรือสัปตฤกษ์กาล เป็นการกำหนดวันเวลาของชาวอินเดีย ใช้ในเมืองตักกสิลา (แคชเมียร์) เรียกว่าสัปตฤกษ์กาลหรือศักราชโลกกาล กำหนดวันเวลาจากการโคจรของดวงอาทิยย์และหมู่ดาวเคราะห์ผ่าน ๒๗ ดาวฤกษ์ ตั้งแต่อัศวิณีฤกษ์ ถึงเรวตีฤกษ์ โดยกำหนดระยะ ๑๐๐ ปีเป็น ๑ ฤกษ์ เมื่อครบ 27 ฤกษ์จะเท่ากับ ๒๗๐๐ ปี เป็นหนึ่งรอบแห่งศักราช ศักราชโกลกาลนี้ตั้งขึ้นก่อนพุทธศักราช ๖๒๓๔ ปีและใช้มาได้ ๓ รอบกับอีก ๑๗๘๓ ปี (๙๘๘๓) จึงเลิกใช้

๒. ปีพฤหัสบดีจักร์ ตั้งขึ้นเมื่อศักราชโลกกาลล่วงมาแล้ว ๓ รอบกับอีก ๑๗๘๓ ปี กำหนดวันเวลาจากการโคจรของดาวพฤหัสบดี ๑ ราศีเป็น ๑ ปี เมื่อดาวพฤหัสบดีโคจรครบรอบ ๑๒ ราศี ๕ ครั้งรวมเวลา ๖๐ ปี เป็นหนึ่งรอบพฤหัสบดีจักร์ โดยกำหนดเอาปีที่ดาวพฤหัสบดีโคจรเข้าราศีมีน (ปีเถาะ) เป็นปีต้นรอบแห่งพฤหัสบดีจักร์
     ปีพฤหัสบดีจักร์นิยมใช้กันมากในประเทศอินเดีย ธิเบต จีน ไทย ลาว เป็นต้น ปัจจุบันยังคงเหลือให้เห็นในรูปแบบปีสิบสองนักษัตร์ โดยไทยนับแต่ชวดเป็นปีต้นรอบแห่งพฤหัสบดีจักร์ ไทยเหนือนับแต่กุนเป็นปีต้นรอบแห่งพฤหัสบดีจักร์

๓. กลียุคศักราช เมื่อปีพฤหัสบดีจักร์ล่วงมาแล้วได้ ๒๗ – ๒๘ ปีได้มีวิธีกำหนดนับวันเวลาขึ้นใหม่ เรียกว่ากลียุคศักราช เพื่อใช้สำหรับคำนวณปฏิทินโหราศาสตร์ เริ่มตั้งขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดี แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๕ ก่อนพุทธศักราช ๒๕๕๘ หรือวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ก่อนคริสตศักราช ๓๑๐๑ โดยยึดถือเอาวิถีการโคจรของโลก ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ จากการสังเกตุเห็นว่าโลกโคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ ในสิบรอบแห่งปีนักษัตร์ (๑๒๐ ปี) ต่อ ๑ ลิปดา หรือ ๗,๒๐๐ ปีต่อ ๑ องศา ทำให้ระยะเวลาในระหว่างที่ดวงอาทิตย์โคจรเข้าราศีเมษเร็วขึ้นทุกๆ ปี ความคลาดเคลื่อนของระยะเวลาดังกล่าวเริ่มมีตั้งแต่องศาที่ ๙๐ ถึงองศาที่ ๓๖๐ ของโลก จึงมีการแบ่งช่วงเวลาตั้งแต่องศาที่ ๙๐ ถึงองศาที่ ๓๖๐ เป็น ๔ ส่วน กำหนดเรียกเป็น ๔ ยุค นับตั้งแต่ยุคที่สี่ถึงยุคที่หนึ่งมีชื่อตามลำดับว่า จัตยายุค ไตรดายุค ทวาปรยุค กลียุค แบ่งเป็นระยะเวลาแต่ละยุคดังนี้


จัตยายุค ๑,๗๒๘,๐๐๐ ปี
ไตรดายุค ๑,๒๙๖,๐๐๐ ปี
ทวาปรยุค ๘๖๔,๐๐๐ ปี
กลียุค ๔๓๒,๐๐๐ ปี
รวมเป็นมหายุค ๔,๓๒๐,๐๐๐ ปี

.ในสมัยของกลียุค เมื่อดวงอาทิตย์ยกขึ้นสู่ราศีเมษ เป็นวันขึ้นปีใหม่หรือวันมหาสงกรานต์ แต่ในยุคก่อนๆเช่นสมัยทวาปรยุคซึ่งนับถอยจากนี้ไปประมาณ ๖,๐๐๐ ปี วันมหาสงกรานต์ คือวันที่ดวงอาทิตย์ยกเข้าราศีพฤษภ

  จากการที่โลกโคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ เมื่อเข้าใกล้ในระยะหนึ่ง ไฟจะไหม้โลก เรียกว่าไฟประลัยกัลป์ หมายถึงหมดภัทรกัป อันมีจำนวน ๔,๓๒๐,๐๐๐,๐๐๐ ปี โดยมีสูตรคำนวณว่า ๑,๐๐๐ มหายุคเป็น ๑ ภัทรกัป ปัจจุบันเป็นมหายุคที่ ๒๗ ย่างเข้ามหายุคที่ ๒๘ นับอายุในภัทรกัปล่วงมาได้ ๑๑๖,๖๔๐,๐๐๐ ปี และนับตั้งแต่ต้นมหายุคจนถึงกลียุยอีก ๓,๘๘๘,๐๐๐ ปี รวมเป็น ๑๕๕,๕๒๐,๐๐๐ ปี ยังเหลือเวลานับตั้งแต่ต้นกลียุคไปอีก ๔,๑๖๔,๔๘๐,๐๐๐ ปี จึงจะเกิดไฟประลัยกัลป์ กลียุคศักราชนี้ปัจจุบันยังมีนักบวชบางนิกายใช้เป็นเกณฑ์คำนวณปฏิทินอยู่

๔. อัญชันศักราช เมื่อกลียุคศักราชล่วงมาแล้วได้ ๒๔๑๑ ในปีเถาะ ที่กรุงเทวทหะมีกษัตริย์ทรงพระนามว่า พระเจ้าอัญชนะ มีพระขนิษฐาพระองค์หนึ่งเป็นพระมเหสีพระเจ้าสีหหนุแห่งกรุงกบิลพัสดุ์ ส่วนพระองค์ได้พระขนิษฐาของพระเจ้าสีหหนุมาเป็นพระมเหสี ที่กรุงราชคฤห์มีกษัตริย์ทรงพระนามว่าพระเจ้าพาทิยะ กษัตริย์ทั้งสามนครสืบเชื้อสายมาจากพระเจ้ามหาสมมติตั้งแต่ครั้งปฐมกัลป์และเป็นพระสหายกัน พระเจ้าอัญชนะนั้นมีพระอนุชาพระองค์หนึ่งถือเพศเป็นดาบส พระนามว่า กาลเทวิลดาบส ครั้งนั้นกาลเทวิลดาบส ได้ชักชวนให้กษัตริย์ทั้งสามนครลบศักราชเก่าเสียแล้วตั้งศักราชของตนเองขึ้นมาใช้ใหม่เรียกว่า อัญชันศักราช แต่ในบางแห่งก็เรียกว่าศักราชของพระเจ้าสีหหนุ
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงให้โหรคำนวณดวงพระราชชะตาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทราบกันว่าพระพุทธเจ้าประสูติเมื่อปีจออัฐศก ศักราช ๖๘ ตรัสรู้เมื่อปีระกาตรีศก ศักราช ๑๐๓ และนิพพานเมื่อปีมะเส็งสัปตศก ศักราช ๑๔๗ นั้นคืออัณชันศักราชนี้

๕. พุทธศักราช เมื่ออัญชันศักราชล่วงมาได้ ๑๔๗ ปี พระพุทธเจ้าทรงเสด็จดับขันธปรินิพพาน ที่ป่ามหาวัน เมืองกุสินารา พุทธศาสนิกชนจึงตั้งศักราชขึ้นเป็นที่ระลึก ใช้สำหรับบันทึกเหตุการณ์ทางศาสนาและพระไตรปิฎก เนื่องจากประเทศไทยมีพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ จึงมีการกำหนดให้ใช้พุทธศักราชเป็นปฏิทินราชการตั้งแต่สมัยรัชการที่ ๖ จนถึงปัจจุบัน

๖. มหาศักราช เมื่อพุทธศักราชล่วงมาแล้วได้ ๖๒๑ ปีในปีเถาะ พระเจ้าศาลีวาหนะแห่งราชวงศ์ศกะของอินเดีย ทรงได้ชัยชนะในสงครามปราบอินเดียฝ่ายใต้ จึงตั้งปีเป็นที่ระลึกตั้งแต่คราวนั้นมา และให้ใช้คำเรียกปีนั้นว่าศักราช สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงวิจารณ์ว่า คำว่าศักราชได้เกิดขึ้นในสมัยนี้เอง ในสมัยก่อนคงเรียกว่า ปี เฉยๆ ตั้งแต่มีมหาศักราชขึ้นมา คำว่าปีเลยเปลี่ยนมาใช้คำว่า ศักราช วันเริ่มเปลี่ยนปีใหม่ของศักราชนี้ เริ่มในวันที่ดวงอาทิตย์เข้าสู่ราศีเมษ หรือวันมหาสงกรานต์เหมือนปัจจุบัน มหาศักราชได้ใช้เป็นเกณฑ์คำนวณปฏิทินของพระบางนิกาย ในคัมภีร์ของไทยมีที่ใช้มหาศักราชนี้มาก แต่เมื่อมีจุลศักราชแล้วจึงเปลี่ยนมาใช้จุลศักราชแทน

๗. จุลศักราช เมื่อมหาศักราชล่วงมาแล้วได้ ๕๖๐ ปี พระยากาฬวรรณดิศ ทรงประชุมกษัตริย์ในล้านนา ที่ประชุมเหล่ากษัตริย์ทำการลบปีมหาศักราช แล้วตั้งจุลศักราชขึ้นมาแทน บัญญัติปีตั้งต้นขึ้นใหม่เมื่อปีกุน ศักราชแห่งพระเจ้าศาลีวาหนะย่างขึ้น ๕๖๑ เพื่อใช้ในตำราโหราศาสตร์ เรียกศักราชก่อนว่ามหาศักราช และศักราชใหม่นี้ว่าจุลศักราช
๘. รัตนโกสินทร์ศก เมื่อจุลศักราชล่วงมาได้ ๑๑๔๓ ปี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงตั้งกรุงเทพมหานครขึ้น ครั้นตั้งมาได้ ๑๐๘ ปี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ จึงโปรดให้ใช้รัตนโกสินทร์ศกเป็นศักราชของทางราชการ โดยให้เริ่มเปลี่ยนปีหรือเริ่มวันขึ้นปีใหม่ในวันที่ ๑ เมษายน
การคำนวณเปรียบเทียบศักราช มีการคำนวณที่ต่างกัน โดยมีเกณฑ์การคำนวณให้ศักราชตรงกันดังนี้
พุทธศักราช + ๒๕๕๖ = กลียุคศักราช
“ “ + ๑๔๖ = อัญชันศักราช
“ “ + ๖๒๒ = มหาศักราช
“ “ + ๑๑๘๑ = จุลศักราช


ที่มา :
สารประเสริฐ, พระ (ตรี นาคะประทีป) . โลกธาตุ. พิมพ์ครั้งที่ ๑. กรุงเทพฯ : คณะอนุกรรมการจัดทำเอกสารและบทความสดุดีบุคคลสำคัญ สำนักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ, ๒๕๓๘
ประชากิจกรจักร์, พระยา. พงศาวดารโยนก

พิเศษ เจียจันทร์พงษ์. “อัญชนะศักราช ศักราชที่ไม่มีคนใช้.” ศิลปวัฒนธรรม ๑๗, ๒ (มกราคม - มีนาคม
๒๕๓๘), ๑๙๔ - ๑๙๘.
สมหมาย จันทร์เรือง. “ศักราชกับการขึ้นปีใหม่ของไทย.” วารสารไทย ๒๗, ๙๗ (มกราคม - มีนาคม ๒๕๔๙),
สุพรรณี กาญจนัษฐิติ. “ศักราชที่ใช้ในหนังสือไทย.” วัฒนธรรมไทย ๑๒, ๑๑ (มกราคม ๒๕๑๖)